ศาสตร์แห่งกลิ่นหอม
หลายคนคงเคยได้ยินว่าผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสารแต่งกลิ่น อาจมีโอกาสก่อให้เกิดการระคายเคืองได้

ถ้าคุณเคยคิดว่าน้ำหอมในเครื่องสำอางแฝงไปไว้ด้วยความไม่ปลอดภัย หลายคนคงเคยได้ยินว่าผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสารแต่งกลิ่น อาจมีโอกาสก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ หากเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใส่สารแต่งกลิ่น (Hypo Allergic Cosmetics หรือ Perfume Free Cosmetics) แต่ความจริงแล้ว สารแต่งกลิ่นไม่ได้มีส่วนในการออกฤทธิ์ใดๆ โดยตรงทั้งสิ้น เพียงแต่ให้กลิ่นหอมเท่านั้น โดยหลักการสูดดมกลิ่นหอมหรือการหายใจเข้าไปโดยตรง น้ำหอมระเหยจะไปจับเซลล์ประสาทรับรู้กลิ่นในโพรงจมูก ซึ่งเมื่อสัมผัสกันแล้วจะมีการส่งสัญญาณไฟฟ้าไปที่สมองในส่วน Limbic ให้เกิดความรู้สึกต่างๆ ในด้านอารมณ์ ความคิด ความจำ เมื่อใช้น้ำหอมเราจึงรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ที่แตกต่างกันไป

ประเภทและความแตกต่าง ของสารแต่งกลิ่นในเครื่องสำอาง

  1. น้ำมันหอมระเหย (Essential Oil)
    สารอินทรีย์ที่พืชผลิตขึ้นตามธรรมชาติ เก็บไว้ตาม กลีบดอก ผิว ผล เกสร ราก เปลือก ลำต้น หรือยางที่ออกมาจากเปลือก มีองค์ประกอบทางเคมีที่สลับซับซ้อนและแตกต่างกันนับร้อยๆ ชนิด น้ำมันมีลักษณะเป็นของเหลวใสไม่เหนียว มีกลิ่นหอม ระเหยง่ายเมื่อที่ได้รับความร้อน อนุภาคเล็กๆของน้ำมันหอมระเหยจะระเหยออกมาเป็นไอทำให้เราได้กลิ่นหอม กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยในส่วนของดอกไม้มีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์ น้ำมันหอมระเหยมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค บรรเทาอาการอักเสบ หรือลดบวม คลายเครียด หรือกระตุ้นให้สดชื่น (ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิด)
  2. สารแต่งกลิ่นสังเคราะห์ (Fragrance)
    สารสังเคราะห์เลียนแบบความหอมของธรรมชาติ สามารถปรุงแต่งให้หอมแปลกออกไปตามความนิยมของแต่ละยุคสมัยได้ สารความหอมนี้ถูกสังเคราะห์ขึ้น ตามขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ ตัวกลางในการสังเคราะห์ความหอมนี้มีทั้ง น้ำ น้ำมัน หรือ แอลกอฮอล์ โดยสารแต่งกลิ่นสังเคราะห์จะคุณสมบัติเพียงแค่ความหอมเท่านั้น

น้ำมันหอมระเหยธรรมชาติจะมีราคาสูงมาก ยกตัวอย่าง น้ำมันหอมระเหย Jasmine ที่สกัดจากดอกมะลิจริงๆ ราคาอยู่ที่ 100,000 บาท/ลิตร ในขณะที่สารแต่งกลิ่นสังเคราะห์มีราคาไม่เกิน 5,000 บาท/ลิตร ซึ่งน้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกไม้ไทยส่วนมากที่ขายในประเทศ จะเป็นกลิ่นสังเคราะห์เกือบทั้งหมด เพราะการปลูกและสกัดยังมีต้นทุนที่สูงกว่ามาก และเนื่องจากราคาน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติแนวดอกไม้ไทยมีราคาสูงมาก ซึ่งคุณสมบัติพิเศษของนำมันหอมระเหยคือ การดำรงคุณค่าของวิตามิน น้ำมันหอมระเหยจะอุดมวิตามินอยู่เต็มที่แต่ในสารแต่งกลิ่นสังเคราะห์จะไม่มี น้ำมันหอมระเหยจึงเหมาะในการนำมาทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและบำบัดร่างกายได้อย่างสมบูรณ์กว่า แต่เนื่องจากมีราคาที่ค่อนข้างสูง หลายๆที่จึงนิยมใช้สารแต่งกลิ่นสังเคราะห์ (Fragrance) เป็นการทดแทน

ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสารแต่งกลิ่น

ความพิถีพิถันในการเลือกสารแต่งกลิ่นเป็นเรื่องสำคัญของผู้บริโภคคนยุคใหม่ ในปัจจุบันผู้ประกอบการสามารถเลือกสารแต่งกลิ่นจากบริษัทผู้ผลิตที่มีเครื่องหมาย IFRA (International Fragrance Association) Certificate รองรับ จากสมาคมน้ำหอมนานาชาติ ที่ได้รับการการันตีความปลอดภัย ความเลิศเลอของวัตถุดิบที่นำมาใช้ พร้อมเอกสารวิเคราะห์คุณลักษณะของสารแต่งกลิ่น (Certificate of Analysis) ซึ่งกำหนดมาตราฐานอัตราส่วนในการผสมสารแต่งกลิ่นในผลิตภัณฑ์ต่างๆ และระยะเวลาในการสร้างสรรค์ น้ำหอมบางกลิ่นจึงอาจใช้เวลามากกว่า 3 ปี ในการคิดค้นสูตรจนเสร็จสมบูรณ์ ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าจะไม่เกิดระคายเคืองจากการใช้ผลิตภัณฑ์ เพราะด้วยกรรมวิธีที่ถูกคิดค้นขึ้นมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ได้เกรดที่เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเครื่องสำอางค์ น้ำหอม และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

researchers-laboratory-holding-petri-dish-resize

การนำสารแต่งกลิ่นมาเป็นสารแต่งกลิ่นในเครื่องสำอาง โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้กลิ่นสังเคราะห์มากกว่าที่ได้จากธรรมชาติ เนื่องจากได้กลิ่นที่ติดทนนานกว่า อย่างไรก็ตามโมเลกุลสารเคมีที่อยู่ในสารแต่งกลิ่นไม่ว่าจะเป็นแบบธรรมชาติหรือแบบสังเคราะห์ ก็มีผลกระทบต่อการคงตัวของตำรับเครื่องสำอางด้วยเช่นกันถ้าใช้ไม่เหมาะสม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ปริมาณของสารแต่งกลิ่น โดยปกติปริมาณการใช้สารแต่งกลิ่น ในสูตรตำรับสำหรับผิวหน้าคือ 0.1-1% (ที่จะส่งผลกระทบกับตำรับน้อยที่สุด) ถ้าใส่สารแต่งกลิ่นในปริมาณที่มากเกินไป อาจจะทำให้ลักษณะทางกายภาพของตำรับเปลี่ยนไป เช่น เนื้อครีมแยกชั้น เปลี่ยนสี ค่าความเป็นกรดด่างเปลี่ยนและอาจจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้ และปริมาณที่เหมาะสมในสูตรตำรับสำหรับผิวกายคือ 1-5% (ขึ้นอยู่กับประเภทผลิตภัณฑ์และการใช้งาน)

“น้ำหอมหรือสารแต่งกลิ่น” นอกจากจะให้ประโยชน์ในเรื่องกลิ่นหอม และสร้างความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่นในท้องตลาด ยังมีส่วนสำคัญในทางเครื่องสำอางอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการกลบกลิ่นหืนของเนื้อครีม กลิ่นเฉพาะของสารสกัดบางตัว เพื่อให้สูตรเกิดความคงตัวไม่ส่งกลิ่นเพี้ยน เหม็นหืน เมื่อทดสอบความคงตัว (Stability Test) ในสภาวะจำลองต่างๆ จึงกล่าวได้ว่า “กลิ่นหอม” คือศาสตร์สัมผัสอันทรงพลังกับเครื่องสำอางเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นการเลือกใช้กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ จึงเป็นการตลาดด้วยกลิ่นที่ช่วยเพื่อเพิ่มยอดขาย เพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผลิตภัณฑ์ ทำให้สามารถกลายเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในทุกวันนี้

‘การทำตลาดด้วยกลิ่น’

จึงถือเป็นการตลาดรูปแบบใหม่ ที่ไม่จำเป็น ต้องถ่ายทอดความรู้สึกของแบรนด์ ผ่านภาพ หรือเสียงอีกต่อไป
แต่สามารถถ่ายทอดได้ด้วย กลิ่น เพื่อให้ผู้ใช้บริการเกิดความรู้สึก ตราตรึง และชัดเจนต่อแบรนด์สินค้า และการบริการของคุณมากกว่าที่เคยเป็น

บทความน่าสนใจ

Share:
Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest
Share on linkedin
รับคำปรึกษาฟรี
เริ่มต้นสร้าง
แบรนด์กับเรา
เพิ่มเพื่อน

Connect us

Most Popular

บทความล่าสุด

บทความที่คุณอาจสนใจ