เคยสงสัยกันไหม! ทุกครั้งที่ใช้ครีมบำรุงผิวหรือเซรั่มแต่ละตัว ทำไมถึงได้ผลลัพธ์ไม่เท่ากัน เซรั่มบำรุงผิวได้ดีกว่าครีม จริงหรือเปล่า? เพราะเมื่อเปรียบเทียบราคาและขนาดดูแล้ว เนื้อผลิตภัณฑ์แบบครีมจะมีราคาถูกแถมมีขนาดใหญ่กว่าเนื้อแบบเซรั่มกันนะ แล้วสำหรับเจ้าของแบรนด์ หากจะต้องเลือกระหว่าง ครีม และ เซรั่ม ในการสร้างแบรนด์ จะมีวิธีการตัดสินใจอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบมาให้ได้หายสงสัยกัน
ไขข้อสงสัยการทำงานของผิวกับคุณหมอ
สถาบันโรคผิวหนังโรงพยาบาลศิริราช โดยคุณหมอรังสิมา กล่าวไว้ว่า “ผิวหนังของคนเรามีหน้าที่ปกป้องร่างกายจากสภาวะแวดล้อมภายนอก สารต่างๆ ภายนอกร่างกายจึงซึมผ่านเข้ามาได้ยาก เมื่อเวลาทาครีมหรือเซรั่มลงบนผิว ครีมหรือเซรั่มจะซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้ทางรูขุมขน และซึมได้ลงลึกได้อย่างมากถึงแค่ผิวหนังกำพร้าเท่านั้น! กลายเป็นว่าคนที่มีรูขุมขนกว้าง เวลาทาอะไรลงบนผิวหน้าแล้ว ยา ครีม หรือโลชั่นจะถูกดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดีกว่าคนที่รูขุมขนเล็กนั่นเอง” และคุณหมอยังกล่าวต่อว่า “เวลาทายา ครีม หรือเซรั่มลงบนผิวหนัง ถ้าต้องการให้ดูดซึมเพิ่มขึ้น ควรทาหลังผิวหนังเปียกแล้วเช็ดให้แห้งหมาดๆ เช่นหลังอาบน้ำทันที และการทาครีมบนหน้า ก็ควรทาครีมหลังล้างหน้า แล้วเช็ดหน้าให้แห้ง หรือหลังการทา toner จะช่วยให้ครีมดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้มากขึ้น แต่ถ้าทาครีมหรือเซรั่มหลาย ๆ ตัวพร้อมๆ กัน ครีมหรือเซรั่มแต่ละตัวจะไม่สามารถแย่งกันซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ ทำให้ลดประสิทธิภาพของครีมลง ควรเว้นอย่างน้อย 5-10 นาที” แล้วจึงบำรุงตัวถัดไป…
แล้วแบบนี้เราจะเลือกใช้ครีมหรือเซรั่มในการบำรุงผิว เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่ากันล่ะ?
ครีมบำรุงผิว(Cream) และ เซรั่ม(Serum) มีอะไรที่ไม่เหมือนกัน
ครีมบำรุงผิว (Cream)
คือการผสมน้ำมันให้เข้ากับน้ำมีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเราโดยเฉพาะ แต่ไม่ใช่ว่าผสมสองอย่างนี้แล้วเป็นครีมเลยนะ ยังมีส่วนประกอบอีกหลายอย่าง แต่ที่หนักคือน้ำมันกับน้ำ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาที่เราทาครีม ผิวเราถึงได้เหนียว ดูดซึมเข้าไปในผิวได้ช้า ครีมจะเอาไว้ช่วยในเรื่องของการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นในผิวได้นาน แต่ไม่ได้ซึมเข้าสู่ผิวชั้นใน จึงเห็นผลช้ากว่าเซรั่ม และมีราคาที่ถูกกว่า ครีมจึงเหมาะที่สุดสำหรับคนที่มีผิวปกติและผิวแห้ง ไม่ค่อยเหมาะกับคนผิวมันเพราะว่าคนผิวมันปกติก็น้ำมันออกอยู่แล้ว
เหมาะกับผิวสวยสุขภาพผิวดีอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาผิวมัน เน้นบำรุงผิวให้ความชุมชื้นผิว บำรุงผิวให้กระจ่างใส แต่ไม่เน้นเรื่องระยะเวลาว่าต้องเห็นผลเร็วในราคาไม่แพง
เซรั่มบำรุงผิว (Serum)
คือเนื้อผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้มีโมเลกุลขนาดเล็ก และมีความเข้มข้นสูงกว่าครีม แต่มีเนื้อที่เบากว่า สารบำรุงต่างๆ จึงซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว ซึมลึกได้ถึงระดับโครงสร้างผิวเลยทีเดียว นอกจากนั้น Active Ingredients ก็กว่าสูงครีม จึงทำให้ที่ทำให้ผู้ใช้เซรั่มเกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวได้อย่างชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบในระยะเวลาที่เท่ากันกับครีม ตัวอย่าง เช่น 1 หยด ของ Vitamin C Serum อาจจะมี % Vitamin C เท่ากับโลชั่นที่คุณเทลงบน 1 ฝ่ามือเต็มๆก็ได้ รู้แบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกว่าทำไมเซรั่มถึงราคาแพงกว่าครีม แม้ว่าจะแค่ปริมาณเพียงเล็กน้อยก็ตาม
เน้นเห็นผลเร็วอยากบำรุงผิวให้กระจ่างใสพร้อมให้ความชุ่มชื้น ความเข้มข้นของ Active Ingredients สูงกว่าครีม แต่ให้ความชุ่มชื้นอาจน้อยกว่าครีมและราคาที่แพงกว่า
สารนำพาสารสำคัญลงสู่ผิว เพิ่มประสิทธิภาพให้สูตรมากขึ้นจริงไหม?
ในผิวจะมีไฮโดรไลปิด ฟิล์ม (Hydrolipid film) หรือเกราะคุ้มกันผิวตามธรรมชาติ (The skin’s natural protective acid mantle หรือ acid mantle) ที่ค่า pH 5.5 เปรียบเสมือนเป็นภูมิคุ้มกันของผิวหนังที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการปกป้องผิว ให้คงความเป็นผิวที่มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งองค์ประกอบหลักของเกราะคุ้มกันผิวตามธรรมชาติ
ประกอบไปด้วย 3 ส่วนคือ…
- ไฮโดรไลปิด ฟิล์ม (Hydrolipid film) – เป็นชั้นฟิล์มบางๆ ปกคลุมอยู่บริเวณชั้นนอกสุดของผิว ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเกราะคุ้มกันผิวตามธรรมชาติ (Acid mantle) ไฮโดรคือ น้ำ ซึ่งได้จากต่อมเหงื่อ และไลปิดคือ ไขมัน ซึ่งได้จากต่อมไขมัน ไฮโดรไลปิด ฟิล์ม มีหน้าที่หลัก คือปกป้องผิวไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิว ทำให้ผิวคงความชุ่มชื่นเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ช่วยไม่ให้มลภาวะ หรือสิ่งแปลกปลอมจากสิ่งแวดล้อมภายนอกมาสัมผัสกับผิวได้โดยตรง ทำให้ผิวไม่เกิดการระคายเคือง
- สารให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวตามธรรมชาติ (Natural Moisturizing Factors :NMF) – เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ หลายๆ ชนิด ที่จำเป็นต่อการคืนความชุ่มชื่นให้กับผิว ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่ไม่สามารถสร้างได้เพียงพอต่อความต้องการของผิว จึงทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื่นอยู่บ่อยครั้ง หรือทุกครั้งที่อาบน้ำ
- เชื้อจุลินทรีย์ประจำถิ่น (Microflora) – เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่กันอย่างสมดุล ภายใต้สภาวะความเป็นกรดอ่อนๆ ที่ค่า pH 5.5 ซึ่งภายใต้สภาวะแวดล้อมนี้ เชื้อจุลินทรีย์ประจำถิ่นที่ไม่ก่อให้เกิดโรค จะคอยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้ออื่นๆ ที่สามารถก่อให้เกิดโรคได้
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าไม่ง่ายเลยที่ครีมหรือเซรั่ม จะนำพาสารแอคทีฟในผลิตภัณฑ์ตรงเข้าบำรุงผิวได้อย่างตรงจุดที่ต้องการ แต่ในยุคที่วิทยาศาสตร์ได้มีความก้าวหน้าไปพร้อมกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ก็ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป เพราะบริษัทผู้ผลิตสารชั้นนำได้คิดค้นกรรมวิธีการผลิตกักเก็บสารสำคัญและสามารถนำพาสารแอคทีฟส่งตรงถึงชั้นผิวที่ต้องการให้เห็นผลได้สำหรับใช้ในเครื่องสำอางกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในรูปแบบโครงสร้างเบส Phospholipid (Hydrogenated Lecithin) ที่เป็นองค์ประกอบของสูตร พบว่าสูตรสามารถพาแอคทีฟซึมเข้าสู่ชั้น epidermis (ผิวหนังชั้นนอก) ได้ดีขึ้นถึงประมาณ 5เท่า (จาก 3% เป็น 17%) และชั้น dermis ได้ดีขึ้นถึง 4เท่า (จาก 1% เป็น 4%) ส่วนสารสกัดจะมีการใช้เทคโนโลยี Micro encapsulation เข้ามาช่วยเพื่อเพิ่มการดูดซึมของส่วนผสม ให้มีความเสถียรมากขึ้น และช่วยให้สามารถละลายพร้อมเสริมประสิทธิภาพการทำงาน (Bioavailability) ได้ดีขึ้น
เนื่องจากราคาสารทั้งเนื้อเบสและสารสกัดที่ค่อนข้างสูง ผู้ผลิตจึงนิยมนำมาใช้ในรูปแบบเซรั่มมากกว่าครีม เพราะด้วยรูปแบบเซรั่มที่สามารถแตกสายผลิตภัณฑ์ได้กว้างและหลากหลายพร้อมสัมผัสที่บางเบากว่าเนื้อครีม เซรั่มจึงเป็นสกินแคร์บำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมจากสารสกัดครบครัน และในปัจจุบันผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าประเภทนี้มีหลายชนิดเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของแต่ละวัย ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป แต่โดยภาพรวมจะเน้นในเรื่องของการบำรุง ฟื้นฟู และแก้ไขปัญหาของผิวหน้าอย่างตรงจุด เซรั่มจึงกลายเป็นที่นิยมในปัจจุบันมากกว่าครีมนั่นเอง…
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.martiderm.com/ // https://barealchemy.com/ // https://www.bloggang.com/
⭐️ ข้อมูลและขั้นตอนการสร้างแบรนด์ Click ⭐️ สำหรับผู้ที่สนใจสร้างแบรนด์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ⭐️