หากพูดถึงสกินแคร์ที่ทุกคนต้องมีกัน สิ่งแรกที่นึกถึงคงไม่พ้น “ น้ำตบ ” เพราะน้ำตบนั้นขึ้นชื่อในเรื่องของการมีคุณสมบัติที่ทำให้ใบหน้ามีความกระจ่างใส ซึมง่ายและแห้งไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ เหมือนสกินแคร์แบบอื่น ผลิตภัณฑ์น้ำตบนั้น จริง ๆ แล้วเป็นคำเรียกรวม ๆ ของสกินแคร์ชนิดนี้ โดยยึดจากลักษณะการใช้ ที่มักจะนิยมนำน้ำตบมากดเบา ๆ ลงบนผิวหน้าด้วยฝ่ามือ เพื่อช่วยกระตุ้นการซึมเข้าสู่ผิวให้ดียิ่งขึ้น โดยมีต้นกำเนิดมาจากแบรนด์สกินแคร์สัญชาติญี่ปุ่น ที่ทำโฆษณาน้ำตบจนกลายเป็นภาพจำว่า ตบแล้วผิวเด้งดึ๋งหนึบติดฝ่ามือมาเลยนั่นเอง
” น้ำตบ ” เป็นตัวบำรุงผิวที่ล้ำลึกเข้าไปถึงชั้นผิว เพื่อฟื้นฟูให้ผิวสุขภาพดีออกมาจากภายใน มักมีส่วนผสมเป็น Water-Base ทำให้เนื้อสัมผัสบางเบา ซึมซาบเร็ว สบายผิว ไม่เหนอะหนะ และยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยขนาดโมเลกุลที่เล็กมาก ๆ ของน้ำตบจึงซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิวและบำรุงลึกตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก ช่วยให้ผิวมีความแข็งแรงขึ้นจริงไม่ใช่แค่การปรับสภาพผิวภายนอกเท่านั้น
กลไกหลักของน้ำตบ จุดเด่นของน้ำตบนั้นจะมีความบางเบาสูง ช่วยกระตุ้นผิวให้เปิดรับสกินแคร์ตัวอื่นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เป็นขั้นตอนแรกของการบำรุง ช่วยเติมน้ำให้กับผิวหน้า กระชับรูขุมขน ช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวใหม่ และช่วยลดเลือนจุดด่างดำ
และในความเป็นจริงการดูแลผิวด้วย “ น้ำตบ “ เพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอสำหรับการปกป้องและบำรุงผิวอย่างเต็มที่ และการเลือกน้ำตบให้เหมาะกับผิวนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญมากอีกสิ่งหนึ่งเช่นเดียวกับการเลือกครีมให้เหมาะกับผิวเรา เพราะว่าถ้าเราเลือกน้ำตบที่ไม่เหมาะกับผิวของเราก็จะทำให้เราบำรุงไม่ถูกจุด ผิวเราไม่เข้ากับน้ำตบและรับประสิทธิภาพของน้ำตบได้ไม่เต็มที่ ไปดูกันเลยว่าน้ำตบที่เหมาะกับสภาพผิวของเราควรจะเป็นแบบไหน
ผิวปกติ (Normal Skin)
◾️ ลักษณะผิว : ไม่แห้งหรือมันจนเกินไป สามารถใช้มอยส์เจอไรเซอร์ฐานน้ำ (Water-based moisturizer) ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบโลชั่น เพื่อที่จะได้รู้สึกแห้งเร็ว เบาสบายผิว ไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะจนเกินไป หรือหากต้องการความชุ่มชื้นมากๆ ก็สามารถใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เป็นฐานน้ำมันได้ (Oil-based moisturizer
◾️ โครงสร้างสูตรที่เหมาะสม : ผิวลักษณะนี้ สามารถใช้น้ำตบได้อย่างเต็มที่ ทั้งแบบทำให้ผิวชุ่มชื้น ฟื้นบำรุงผิว ทำให้ผิวกระจ่างใส เป็นต้น เพราะผิวธรรมดาเป็นผิวที่แข็งแรง ผิวสุขภาพดี ที่สำคัญอย่าลืมทาผลิตภัณฑ์กันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสีต่างๆ
ผิวแห้ง (Dry Skin)
◾️ ลักษณะผิว : จะค่อนข้างแห้งและขาดน้ำ จึงควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอ โดยแนะนำให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ฐานน้ำมัน (Oil-based moisturizer) เพื่อให้น้ำมันเคลือบผิวไม่ให้ความชื้นจากผิวระเหยออกไป ซึ่งเนื้อของผลิตภัณฑ์อาจมีความข้นหรือหนืดมากกว่าปกติ หากมีผิวที่แห้ง
◾️ โครงสร้างสูตรที่เหมาะสม : น้ำตบสำหรับคนผิวแบบนี้จึงต้องมีส่วนผสมที่เน้นไปในเรื่องเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวมากกว่าเดิมนั่นเอง และควรใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มโลชั่นหรือครีมเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของน้ำตบ และเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวประเภทนี้ให้มากขึ้น
ผิวมัน (Oily Skin)
◾️ ลักษณะผิว : เป็นผิวมันวาวเนื่องจากมีการผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมามากกว่าปกติ มอยส์เจอไรเซอร์ที่แนะนำให้ใช้จะเป็นแบบฐานน้ำ (Water-based moisturizer) ที่อาจอยู่ในรูปแบบโลชั่นเหลว หรือเลือกแบบเจล ที่จะซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว คนผิวหน้ามันควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเป็นสารที่เป็นน้ำมัน
◾️ โครงสร้างสูตรที่เหมาะสม : ผิวมันหรือผิวเป็นสิว ควรจะเป็นน้ำตบที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ ไม่มีสารเคมี ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน และไม่แต่งกลิ่นด้วยน้ำหอม ซึ่งน้ำตบสำหรับคนเป็นสิวนั้นไม่ได้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นเพียงเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความมันบนผิวและสาเหตุของการเกิดสิวได้อีกด้วย แนะนำใช้โทนเนอร์หลังทำความสะอาดผิว เพราะโทนเนอร์จะช่วยลดการเกิดสิวได้ดีขึ้น
ผิวผสม (Combination Skin)
◾️ ลักษณะผิว : บางบริเวณจะแห้งและบางบริเวณ เช่น หน้าผาก จมูก คาง จะมีความมัน อาจเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความหนืดเเละให้ความชุ่มชื้นปานกลาง เป็นเนื้อโลชั่นกึ่งครีม หรืออาจเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละส่วน
◾️ โครงสร้างสูตรที่เหมาะสม : ต้องเป็นน้ำตบที่บำรุงผิวไม่ให้แห้งเสีย ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่มีส่วนผสมของสารเคมีอีกด้วย เพราะคนผิวผสมนั้นต้องดูแลผิวไม่เหมือนคนอื่น ตรงที่ผิวผสมมักจะมีส่วนที่มีความมันและเกิดสิวบ่อยคือบริเวณ คาง จมูก และหน้าผาก ซึ่งต้องได้รับการดูแลอย่างอ่อนโยนและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และควรใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มเซรั่ม เพราะมีเนื้อที่ไม่หนักจนเกินไป เพื่อเสริมสร้างการบำรุงเฉพาะจุด
ผิวแพ้ง่าย(Sensitive Skin)
◾️ ลักษณะผิว : ไวต่อการระคายเคืองได้ง่าย มักจะมีรอยแดง ผื่นขึ้นและอักเสบง่าย สุขภาพผิวไม่แข็งแรง
◾️ โครงสร้างสูตรที่เหมาะสม : น้ำตบที่เหมาะกับผิวแบบนี้ต้องไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารเคมีเลย เพราะคนที่มีผิวแพ้ง่ายนั้น จะต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดรอบคอบ และต้องเป็นนน้ำตบที่อ่อนโยนต่อผิวสุด ๆ ไม่ต่างจากคนที่เป็นสิวเลย จึงสามารถใช้โทนเนอร์หลังทำความสะอาดผิวหน้า เพื่อเป็นการปรับสมกุลผิว และกระชับรูขุมขนให้ผิวเรียงตัวได้ดีขึ้น
น้ำตบ มีประโยชน์ที่หลากหลาย เป็นตัวช่วยเตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป และทำให้การบำรุงเห็นผลอย่างชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญกับการเลือกน้ำตบที่เหมาะกับปัญหาผิว ดังนั้นเพื่อรักษาให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ ไร้ริ้วรอย อย่าลืมนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้พร้อมปฏิบัติอย่างมีวินัย รับรองว่าผิวหน้าจะสดใสและดูเด็กจนใครก็เดาอายุไม่ถูกเลยทีเดียว
SDG07 น้ำตบหัวเชื้อพิเทร่าเข้มข้น รายละเอียดเพิ่มเติม Click
Routine การเลือกใช้ Skincare ก่อน-หลัง
การเลือก น้ำตบ ไม่ใช่แค่การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีเท่านั้น เพราะยังต้องรู้วิธีใช้อย่างถูกต้องเพื่อประสิทธิภาพที่ตรงกับความต้องการด้วย คุณอาจจะคิดว่าผสม ๆ เซรั่มขวดนี้เข้ากับครีมกระปุกนั้นทาพร้อมกันก็ได้ สุดท้ายมันก็ไปรวมในผิวอยู่ดี แต่ช้าก่อนค่า .. หลักการทาสกินแคร์ ควรไล่ตามหน้าที่ และน้ำหนักเนื้อ เพื่อให้ผิวได้รับคุณประโยชน์ที่พึงได้ โดย ดร.เฮเธอร์ โรเจอร์ส (Dr. Heather Rogers) แพทย์ผิวหนังกล่าว “หน้าที่ของผิวคือปกป้องผิว คอยกรองสิ่งแปลกปลอมออก ในขณะเดียวกันสกินแคร์ก็มีส่วนผสมบำรุงต่าง ๆ ที่เราอยากเติมเข้าผิว แต่ทว่า แม้สกินแคร์จะสูตรทรงประสิทธิภาพเพียงใด และอนุภาคเล็กซึมซาบดีเพียงใด หากทาไม่ถูกลำดับขั้น ผิวคุณจะไม่ได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่ที่สุด” ลำดับการบำรุงผิวในภาพรวมมีขั้นตอนพื้นฐาน 6-7 ขั้น และแบ่งตามสกินแคร์รูทีนออกเป็น 2 ช่วง คือเช้า และก่อนนอน
☀️ DAY
Cleanser ➜ Toner ➜ Water Essence ➜ Eye Cream ➜ Serum ➜ Moisture ➜ Sunscreen
🌙 NIGHT
Remover ➜ Toner ➜ Water Essence ➜ Eye Cream ➜ Serum/Treatment ➜ Night Cream
หลายๆท่านอาจสงสัย ถึงคุณสมบัติและวิธีใช้ของสกินแคร์รูทีนประเภทต่างๆ จำเป็นไหมที่ต้องใช้ทุกตัว? แต่ละตัว ทำหน้าที่แตกต่างกันอย่างไร ควรเลือกชนิดไหนให้เหมาะกับผิว?
โทนเนอร์ (Toner)
คุณสมบัติ : ช่วยปรับสภาพผิว ช่วยเติมน้ำให้ผิว และ ช่วยทำความสะอาด ขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างหลังการล้างหน้า การใช้โทนเนอร์คือ การนำสำลีชุบโทนเนอร์ เช็ดบริเวณใบหน้า
เนื้อสัมผัส : บางเบามาก ใกล้เคียงน้ำ
ลำดับการใช้ : หลังล้างหน้า ใช้กับแผ่นสำลีเช็ดหน้า
เหมาะสำหรับ : ทุกสภาพผิว
เซรั่ม (Serum)
คุณสมบัติ : บำรุงผิวอย่างล้ำลึก เซรั่มมีส่วนผสมของ Oil-Base ซึ่งช่วยในเรื่องความชุ่มชื่นมากกว่า มีเนื้อสัมผัสที่หลากหลาย ตั้งแต่แบบน้ำ น้ำมัน หรือเจลใส แต่มีขนาดโมเลกุลที่เล็กจึงเติมอาหารเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก
เนื้อสัมผัส : บางเบา แต่มีความหนืด
ลำดับการใช้ : หลังโทนเนอร์ หรือหลังเอสเซนส์ แต่ก่อนโลชั่น
เหมาะสำหรับ : สาวทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวมัน
โลชั่น (Lotion)
คุณสมบัติ : เด่นในเรื่องช่วยบำรุงและเคลือบผิวชั้นนอกให้ชุ่มชื่น และทำให้ผิวเนียนนุ่ม แต่แตกต่างกันที่ในโลชั่นจะมีส่วนผสมที่เป็นน้ำมันมากกว่า ทำให้ช่วยเติมความชุ่มชื่นให้ผิวดีกว่า
เนื้อสัมผัส : มีความครีมมี่ เข้มข้นปานกลาง เนื้อสัมผัสนุ่มลื่น
ลำดับการใช้ : หลังทรีตเมนท์ สามารถใช้เป็นตัวบำรุงขั้นตอนสุดท้ายได้
เหมาะสำหรับ : สาวผิวธรรมดา-ผิวผสม
แอมเพิล (Ampoule)
คุณสมบัติ : แอมเพิลคล้ายเซรั่มหรือเอสเซ้นซ์ แต่มีความเข้มข้นสูง มีส่วนผสมที่ช่วยฟื้นฟูดูแลบำรุงผิวแบบรวดเร็ว หากมีสภาพผิวพังหรืออ่อนล้าขอให้เลือกแอมเพิลเป็นตัวช่วยด่วนๆ สามารถใช้แต้มในจุดที่เป็นปัญหาผิวอย่างเดียวก็ได้
เนื้อสัมผัส : บางเบา มีความหนืดเล็กน้อย
ลำดับการใช้ : ก่อนหรือหลังน้ำตบ
เหมาะสำหรับ : สาวทุกสภาพผิว
เอสเซนส์ (Essence)
คุณสมบัติ : เอสเซนส์ หรือที่เรียกกันว่า “น้ำตบ” เป็นตัวบำรุงผิวจากภายใน เป็นการเน้นการบำรุงที่ล้ำลึกเข้าไปถึงชั้นผิวมีส่วนผสมเป็น Water-Base เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้สารตระกูลน้ำมัน ซึ่งเนื้อของเอสเซนศ์จะมีสัมผัสที่บางเบา ซึบซาบได้เร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ
เนื้อสัมผัส : บางเบามาก แต่หนักกว่าโทนเนอร์
ลำดับการใช้ : หลังโทนเนอร์และแอมเพิล หรือใช้แทนโทนเนอร์
เหมาะสำหรับ : สาวทุกสภาพผิว ผิวที่แพ้ตระกูลน้ำมัน
ไม่จำเป็นว่าจะต้องสกินแคร์ครบทุกขั้นตอน ทุกคนสามารถปรับเปลี่ยนการบำรุงตามสภาพผิวของตัวเองได้ตามสะดวก อาจจะแค่ลง Toner → Moisturizer → Sunscreen ก็ได้ เพียงแค่เรียงลำดับการลงให้ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน แต่ละความต้องการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดเพื่อผิวจะได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.innnews.co.th